วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ชีวิตถ้ามันเหนื่อยนัก..พักซะบ้างก็คงดี....

บางทีคนเราพักบ้างก็คงดี...ธรรมะคือทางเลือกที่ดีที่สุด....

พุทธทาสภิกขุ
ภาพ:Buddhadasa280.jpg

         พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาส อินทปัญโญ) วัดธารน้ำไหล (สวนโมกขพลาราม) อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งสวนโมกขพลารามเพื่อให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมและสถานที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา นอกจากนี้ผลงานของท่านพุทธทาสภิกขุยังมีปรากฏอยู่มากมายทั้งในรูปพระธรรมเทศนา และในงานเขียน โดยท่านตั้งใจทำการถ่ายทอดพระพุทธศาสนาให้อยู่ในฐานะที่เป็นพุทธะศาสนาอย่างแท้จริง นั่นคือเป็นศาสนาแห่งความรู้ ไม่เจือปนไปด้วยความหลงผิดที่เข้าแทรกจนกลายเป็นเนื้อร้ายที่คอยกัดกิน ได้แก่เรื่อง พุทธพาณิชย์, ไสยศาสตร์ และเรื่องความหลงใหลในลาภยศของพระสงฆ์ ฯลฯ อีกทั้งคำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุก็ได้ถูกถ่ายทอดให้อยู่ในรูปแบบที่คนทั่วไปสามารถเข้าถึงและเข้าใจได้ โดยที่ยังคงเนื้อหาสำคัญไว้ได้อย่างครบถ้วน ซึ่งคำสอนของท่านยังรวมไปถึงเรื่องทั่วๆ ไปด้วย เช่น การทำงาน, การเรียน ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับชีวิตประจำวัน



ประวัติท่านพุทธทาสภิกขุ


        ท่านพุทธทาสภิกขุ หรือฉายาก่อนหน้านี้ว่า อินทปัญโญ แปลว่า ผู้มีปัญญาอันยิ่งใหญ่ ก่อนบวชท่านมีชื่อว่า เงื่อม นามสกุล พานิช เกิดวันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม 2449 ซึ่งตรงกับวันขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเมีย ณ อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นบุตรชายคนโตของนายเซี้ยง และนางเคลื่อน มีน้องสองคน ผู้ชายชื่อ ยี่เก้ย ผู้หญิงชื่อ กิมซ้อย
        บิดาของท่านประกอบอาชีพค้าขายเฉกเช่นที่ชาวไทยเชื้อสายจีนทั่วไปนิยมทำกัน ส่วนอิทธิพลที่ได้รับมานั่นก็คือ ความสามารถทางด้านกวี และทางด้านช่างไม้ ซึ่งเป็นงานอดิเรกของบิดา ส่วนอิทธิพลที่ได้รับจากมารดา คือความสนใจในการศึกษาธรรมะ ส่วนทางด้านการเล่าเรียนนั้นท่านต้องออกจากโรงเรียนตอน ม.3 เพื่อมาช่วยมารดาค้าขาย หลังจากที่บิดาของท่านถึงแก่กรรม
เข้าสู่ชายผ้าเหลือง
        พออายุได้ 20 ปี ก็ได้บวชเป็นพระตามคตินิยมของชายไทย ที่[[วัดโพธาราม[[ โดยได้รับฉายาว่า อินทปัญโญเดิมท่านตั้งใจจะบวชเพียง 3 เดือน แต่ด้วยความชอบที่จะศึกษาและเทศน์แสดงธรรมทำให้ท่านไม่อยากสึก เล่ากันว่าครั้งหนึ่งท่านเจ้าคณะอำเภอเคยถามท่านว่า มีความเห็นอย่างไรในการใช้ชีวิต ท่านตอบว่า ผมคิดว่าจะใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ แก่เพื่อนมนุษย์ ให้มากที่สุดและยังกล่าวต่อไปอีกว่า แต่ถ้ายี่เก้ยจะบวช ผมก็ต้องสึกออกไปอยู่บ้านค้าขายท่านเจ้าคณะอำเภอจึงไปคุยกับโยมแม่ของท่านว่าควรให้ท่านบวชเป็นพระต่อไป ส่วนยี่เก้ย น้องชายของท่านนั้นไม่ต้องบวชก็ได้เพราะมีชีวิตเหมือนพระอยู่แล้ว คือเป็นคนมักน้อย สันโดษ การกินอยู่ก็เรียบง่าย ตัดผมสั้นเกรียนตลอดเวลา ยี่เก้ยก็เลยไม่ได้บวชให้พี่ชายบวชแทนมาตลอด ซึ่งต่อมายี่เก้ยก็คือ ท่านธรรมทาสฆราวาสผู้เป็นกำลังหลักของคณะธรรมทานในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของสวนโมกขพลาราม
        หลังจากนั้นท่านได้เดินทางมาศึกษาธรรมะต่อที่กรุงเทพฯ จนสอบได้นักธรรมเอก ด้วยความที่ท่านเป็นคนรักการศึกษาค้นคว้าจากพระไตรปิฎก และยังค้นคว้าออกไปจากตำราถึงเรื่องการปฏิรูปพระพุทธศาสนาในประเทศศรีลังกา อินเดีย และการเผยแพร่ พระพุทธศาสนาในโลกตะวันตก ทำให้ท่านรู้สึกขัดแย้งกับวิธีการสอนธรรมะที่ยึดถือตามระเบียบแบบแผนมากเกินไป รวมถึงความหย่อนยานในพระวินัยของสงฆ์ตลอดจนความเชื่อที่ผิดๆ ของ พุทธศาสนิกชนในขณะนั้น ซึ่งท่านมีความเชื่อว่าพระพุทธศาสนาที่สอน ที่ปฏิบัติกันในเวลานั้นคลาดเคลื่อนไปจากที่พระพุทธองค์ทรงชี้แนะ ท่านจึงตัดสินใจหันหลังให้กับการศึกษาของสงฆ์ เดินทางกลับไชยาเพื่อศึกษาและทดลองปฏิบัติตามแนวทางที่ท่านเชื่อ โดยร่วมกับยี่เก้ยซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็นธรรมทาส และยังมีคณะธรรมทานในการช่วยจัดตั้งสถานปฏิบัติธรรม สวนโมกขพลารามขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2475 ต่อมาก็ได้ประกาศใช้ชื่อนาม พุทธทาสเพื่อแสดงถึงอุดมคติสูงสุดในชีวิตของท่าน
        ท่านได้รับสมณศักดิ์สูงสุดเป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่พระธรรมโกศาจารย์ เมื่อปี 2520 ส่วนในระดับนานาชาตินั้น ปัจจุบันมหาวิทยาลัยที่มีแผนกสอนวิชาศาสนาสากล ในหลายประเทศล้วนศึกษางานของท่าน มีหนังสือได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน จีน อินโดนีเซีย กว่า 20 เล่ม จากต้นฉบับภาษาไทยทั้งหมด 140 เล่ม
        ท่านพุทธทาสได้ละสังขารกลับคืนสู่ธรรมชาติอย่างสงบ ณ สวนโมกขพลาราม เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2536 สิริรวมอายุได้ 87 พรรษา คงเหลือไว้แต่ผลงานที่ทรงคุณค่าแทนตัวท่าน ให้อนุชนคนรุ่นหลังได้สืบสานปณิธานของท่านจะได้ไม่ตายไปจากพระพุทธศาสนา


 "ยูเนสโก" ยกย่อง "ท่านพุทธทาส" 1 ใน 63 บุคคลสำคัญของโลก
        การประชุมสมัยสามัญองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(ยูเนสโก) ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2548 พิจารณาการยกย่องเฉลิมฉลองบุคคลสำคัญ หรือผู้มีผลงานดีเด่นและเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ ประจำปี 2549-2550 รวม 63 คน/สถาบัน รวมถึงท่านพุทธทาสภิกขุ ถือได้ว่าท่านเป็นคนไทยคนที่ 18 ที่องค์การยูเนสโกประกาศยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก


ผลงาน และหลักธรรมคำสอน


ปณิธานในชีวิต

        โดยท่านมีความเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนก็คือ เพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมด และหัวใจของทุกศาสนาก็เหมือนกันหมด คือต้องการให้คนหลุดพ้นจากความทุกข์ ท่านจึงได้ตั้งปณิธานในชีวิตไว้ 3 ข้อ คือ
  • ให้พุทธศาสนิกชนหรือศาสนิกแห่งศาสนาใดก็ตาม เข้าถึงความหมายอันลึกซึ้งที่สุดแห่งศาสนาของตน
  • ทำความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา
  •   ดึงเพื่อนมนุษย์ให้ออกมาเสียจากวัตถุนิยม
        ซึ่งก็มีบางคนที่ไม่เห็นด้วยกับท่าน หาว่าท่านจาบจ้วงพระพุทธศาสนาหรือรับจ้างคนคริสต์มาทำลายล้างพระพุทธศาสนา แต่ผลจากการอุทิศชีวิตถวายแด่พระศาสนาของท่าน ทำให้ท่านได้รับการนับถือจากพุทธศาสนิกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยท่านพุทธทาสภิกขุมรณภาพเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2536 สิริรวมอายุได้ 87 ปี และเป็นพระทั้งหมด 67 พรรษา คงเหลือไว้แต่ผลงานที่แทนตัวท่านให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาปณิธานของท่านต่อไป ดังบทประพันธ์ของท่านที่ว่า



ผลงาน
        ตลอดชีวิตของท่านพุทธทาสได้ย้ำอยู่เสมอว่า "ธรรมะ คือ หน้าที่" ที่ทั้งทางฝ่ายกายและฝ่ายวิญญาณของมนุษย์ และท่านได้ทำหน้าที่ในฐานะทาสผู้ซื่อสัตย์ของพระพุทธเจ้า จนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต จึงไม่น่าสงสัยเลยว่าผลงานที่ท่านได้สร้างสรรค์ไว้เพื่อเป็นมรดกทางธรรมนั้นจะมีมากมายสักปานใด ซึ่งมีผลงานหลักๆ ดังนี้
        1. การจัดตั้งสถานปฏิบัติธรรมสวนโมกขพลาราม และสวนโมกข์นานาชาติ
        2. การร่วมกับคณะธรรมทานในการออกหนังสือพิมพ์ "พุทธสาสนา" ราย 3 เดือน ซึ่งนับเป็นหนังสือพิมพ์ทางพระพุทธศาสนาเล่มแรกของไทย ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2476 และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน นับเป็นเวลารวมถึง 61 ปี และนับเป็นหนังสือพิมพ์ทางพระพุทธศาสนาที่มีอายุยืนยาวที่สุดของไทย
        3. การพิมพ์หนังสือ ชุด "ธรรมโฆษณ์" ซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวมจากปาฐกถาธรรมที่ท่านแสดงไว้ในวาระต่างๆ และงานหนังสือเล่มอื่นๆ ของท่าน แบ่งออกเป็น 5 หมวด คือ
  • หมวด "จากพระโอษฐ์" เป็นเรื่องที่ท่านค้นคว้าจากพระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลีโดยตรง
  • หมวด "ปกรณ์พิเศษ" เป็นคำอธิบายข้อธรรมะที่เป็นหลักวิชาและหลักปฏิบัติ
  • หมวด "ธรรมเทศนา" เป็นคำบรรยายแบบเทศนาในเทศกาลต่างๆ
  • หมวด "ชุมนุมธรรมบรรยาย" เป็นคำขยายความข้อธรรมะเพื่อให้เข้าใจได้อย่างถูกต้อง
  • หมวด "ปกิณกะ" เป็นการอธิบายข้อธรรมะเบ็ดเตล็ดต่างๆ
        4. การปาฐกถาธรรมของท่านก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในแง่วิธีการ และการตีความพระพุทธศาสนา ซึ่งกระตุ้นให้ผู้คนกลับมาสนใจธรรมะมากขึ้น ครั้งที่สำคัญๆ ได้แก่ การปาฐกถาธรรมเรื่อง "ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม", "อภิธรรมคืออะไร", "ปฏิจจสมุปบาทคืออะไร", "จิตว่างหรือสุญญตา", "นิพพาน", "การทำงานคือการปฏิบัติธรรม" และ "การศึกษาสุนัขหางด้วน" เป็นต้น
        5. งานประพันธ์ของท่านเอง เช่น "ตามรอยพระอรหันต์", "ชุมนุมเรื่องสั้น", "ชุมนุมเรื่องยาว", "ชุมนุมข้อคิดอิสระ", "บทประพันธ์ของสิริวยาส" (เป็นนามปากกาที่ท่านใช้ในการเขียนกวีนิพนธ์)
        6. งานแปลจากภาษาอังกฤษของท่านเล่มสำคัญคือ "สูตรของเว่ยหล่าง" และ "คำสอนของฮวงโป" ทั้งสองเล่มเป็นพระสูตรที่สำคัญของพุทธศาสนานิกายเซ็น


หัวข้อธรรมในคำกลอน
        เรื่องรสคำประพันธ์นั้น ท่านพุทธทาสเขียนไว้ใน มุ่งธรรมรส-งดกวีว่า รสคำประพันธ์อาจไม่จำเป็นต้องไพเราะ อ่อนช้อยในเชิงกวี แต่ต้องให้แสดงธรรมะได้แจ่มชัด ใช้ชุบชูจิตใจผู้อ่าน เน้นสาระในรสธรรมมากกว่ารสคำกวี
        ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดเล่าถึงที่มาของบทกวีธรรมะของท่านพุทธทาสว่าเมื่อท่านมีความคิดอะไรแวบขึ้นมาหรือเห็นประเด็น เหตุการณ์ที่น่าสนใจ ท่านจะมีคำคม ๆ ขึ้นมาคำหนึ่ง แล้วเอามาบรรยายขยายความในการเทศน์ แล้วอีกไม่เกินสัปดาห์ท่านจะแต่งเป็นบทกลอน ธรรมะเรื่องหนึ่งท่านจะแต่งเป็นกลอน ๘-๑๒ วรรค ให้ใจความจบลงในนั้นต่อมางานชุดนี้ถูกรวบรวมนำมาตีพิมพ์เป็นเล่มชื่อ หัวข้อธรรมในคำกลอน (ฉบับสมบูรณ์) งานชิ้นสำคัญที่มักถูกนำมาพิมพ์ซ้ำบ่อยครั้งก็เช่น การงาน, มองแต่แง่ดีเถิด, อาจารย์ไก่, ตายก่อนตาย, พุทธทาสจักไม่ตาย


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
- หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 22 ตุลาคม 2548
- หนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์ วันที่ 30 ตุลาคม 2548

วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

วันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2554

วันแห่งความรัก

จงรักชาติ......แต่อย่าคลั่งชาติ
 จงรักดี.........แต่อย่าติดดี
จงรักงาน.......แต่อย่าบ้างาน
จงรักเงิน........แต่อย่าบูชาเงิน
จงรักมนุษยชาติ......แต่อย่าหลงลืมคนที่อยู่รอบๆ ตัวเรา
และที่สำคัญจงรัก.......คนที่เขาเกลียดเรา
เพราะเขามีต้นทุนคือ....ความรักในหัวใจน้อยเกินไป
ถ้าคุณสามารถรักคนที่เกลียดคุณ...และเห็นคุณเป็นศัตรูได้ มันจะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก อยากให้พึงระลึกไว้ด้วยว่า
ความรักที่ลอยพ้นอัตตา...คือรักที่สามารถเยียวยาโลกทั้งผอง
ท่าน ว.วชิรเมธี


วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554

ท่านอยากเป็นผู้นำแบบใด?

ท่านอยากเป็นผู้นำแบบไหน?
พระอาจารย์ประยูร ธมฺมจิตฺโต (พระธรรมโกศาจารย์) ได้นิพนธ์ไว้ในหนังสือเรื่อง พุทธวิธีบริหาร
ตอนหนึ่งว่า                                                                      
๑. อัตตาธิปไตย หมายถึง การถือตนเองเป็นใหญ่
         นักบริหารที่เป็นอัตตาธิปไตย ถือตนเองเป็นศูนย์กลางของการตัดสินใจ เขาเชื่อมั่นในตนเองสูง คิดว่าตนเองฉลาดกว่าใคร จึงไม่รับฟังความคิดเห็นของใคร เขาไม่อดทนต่อการวิพากษ์วิจารณ์เขานิยมใช้พระเดชมากกว่าพระคุณ เมื่อบริหารงานนาน ๆ ไปจะไม่มีคนกล้าคัดค้าหรือทัดทาน ลงท้ายนักบริหารประเภทนี้มักเป็นเผด็จการ การบริหารงานแบบนี้ทำให้ได้งานแต่เสียคน นั่นคืองานสำเร็จเร็วทันใจนักบริหาร แต่ไม่ถูกใจคนร่วมงาน เขาผูกใจคนไม่ได้ เขาได้ความสำเร็จของงานแต่เสียเรื่องการครองใจคน
๒. โลกาธิปไตย หมายถึง การถือคนอื่นเป็นใหญ่
        นักบริหารประเภทนี้มีวิธีทำงานที่ตรงกันข้ามกับประเภทแรกนั่นคือ นักบริหารโลกาธิปไตยไม่มีจุดยืนเป็นของตัวเอง เขาขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่สามารถตัดสินใจอะไร ถ้านั่งเป็นประธานอยู่ในที่ประชุมเขาจะฟังทุกฝ่ายก็จริง แต่เมื่อฝ่ายต่าง ๆ พูดขัดแย้งกัน เขาจะไม่ตัดสินชี้ขาด แต่เปิดโอกาสให้ทุกฝายทุ่มเถียงทะเลาะกันเอง ใครเสนอความคิดอะไรมาเขาก็เห็นคล้อยตามด้วย จนไม่ยอมตัดสินใจเด็ดขาดลงไปว่าฝ่ายไหนถูกฝ่ายไหนผิด ในที่สุดลูกน้องต้องวิ่งเต้นเข้านักบริหารประเภทนี้อยู่เรื่อยไป ผลลงเอยด้วยลูกน้องตีกันเอง เพราะนักบริหารไม่ยอมวินิจฉัยชี้ขาดว่าจะทำตามข้อเสนอของใคร นักบริหารประเภทนี้ได้คนแต่เสียงาน นั่นคือทุกคนชอบเขาเพราะเขาเป็นคนอ่อนไม่เคยตำหนิใคร ลูกน้องจะทำงานหรือทิ้งงานก็ได้เขาไม่กล้าลงโทษ เขาสุภาพกับทุกคน แต่องค์กรวุ่นวายไร้ระเบียบและไม่มีผลงาน

๓. ธรรมาธิปไตย หมายถึง การถือธรรมหรือหลักการเป็นสำคัญ
        นักบริหารประเภทนี้ ยึดเอาความสำเร็จของงานเป็นที่ตั้งเพื่อทำงานให้สำเร็จเขายินดีรับฟังคำแนะนำจากทุกฝ่าย ซึ่งรวมทั้งคนที่ไม่ชอบเขาเป็นส่วนตัว เขาแยกเรื่องงานออจากความขัดแย้งส่วนตัว เขายอมโง่เพื่อศึกษาความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ การบริหารเช่นนี้ทำให้ได้ทั้งคนและงาน นั่นคืองานสำเร็จเพราะคนทุกคนมีโอกาสแสดงความสามารถ นักบริหารจะเปิดโอกาสให้คนที่ตนไม่ชอบได้ทำงานด้วย ถ้าเขาคนนั้นมีฝีมือ

ทีนี้ท่านพอจะนึกออกหรือไม่......ว่าอยากจะเป็นผู้นำแบบใด...

วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554

Too Much So Much Very Much (Official Music Video)

ทฤษฎี Herzberg's Two Factor Theory (ทฤษฎีสองปัจจัย)

ทฤษฎี  Herzberg’s Two  Factor  Theory  (ทฤษฎีสองปัจจัย)
เป็นทฤษฎีที่  Frederick K. Herzberg and  Others.  ได้ศึกษาเกี่ยวกับแรงจูงใจในการทำงานของบุคคล 
โดยศึกษาถึงความต้องการของบุคคลในองค์การ  หรือการจูงใจจากการทำงานโดยเฉพาะเจาะจง โดยศึกษาว่าคนเราต้องการอะไรจากการทำงาน  ซึ่งสรุปได้ว่า  ความสุขจากการทำงานนั้น  เกิดจากความพึงพอใจ  หรือ
ไม่พึงพอใจในงานที่ทำ  มีสาเหตุมาจากปัจจัยสองกลุ่ม คือ
1. ปัจจัยจูงใจ  (Motivational Factors)  เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับงานโดยตรง  เพื่อจูงใจให้คนชอบและ
รักงานที่ปฏิบัติอยู่   เป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดความพึงพอใจแก่บุคคลในองค์การ  ให้ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  เพราะเป็นปัจจัยที่สามารถตอบสนองความต้องการภายในของบุคคลได้   ประกอบด้วย
1.1    ความสำเร็จในการทำงาน  
1.2    การได้รับการยอมรับนับถือ
1.3    ลักษณะงานที่ปฏิบัติ
1.4    ความรับผิดชอบในงาน
1.5    ความก้าวหน้า            
2. ปัจจัยค้ำจุนหรือปัจจัยสุขศาสตร์  (Maintenance  or  Hygiene  Factors)  หมายถึง ปัจจัยที่จะค้ำจุน
ให้บุคคลมีแรงจูงใจในการทำงานอยู่ตลอดเวลา  ถ้าไม่มีหรือมีในลักษณะที่ไม่สอดคล้องกับบุคคลในองค์การ  บุคคลในองค์การจะเกิดความไม่ชอบงานขึ้น  ซึ่งเป็นปัจจัยที่มาจากภายนอกตัวบุคคล  ปัจจัยเหล่านี้ได้แก่
                    2.1  เงินเดือน
                    2.2  นโยบายและการบริหาร
                    2.3  ความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา  ผู้ใต้บังคับบัญชา  และเพื่อนร่วมงาน
                    2.4  สภาพการทำงาน
                    2.5  วิธีปกครองบังคับบัญชา
    2.6  สถานะทางอาชีพ
    2.7  ความมั่นคงในการทำงาน 
                    จากทฤษฎีดังกล่าว สรุปได้ว่า  ปัจจัยทั้งสองด้านนี้เป็นสิ่งที่คนต้องการ  เพราะเป็นแรงจูงใจในการทำงาน   
ปัจจัยจูงใจ  เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดความสุขในการทำงาน โดยมีความสัมพันธ์กับแนวคิดที่ว่า  เมื่อคนได้รับการตอบสนองด้วยปัจจัยนี้แล้ว  จะช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการทำงาน  ผลที่ตามมาก็คือคนจะเกิดความพึงพอใจในงาน  สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจัยค้ำจุนหรือสุขศาสตร์  ทำหน้าที่เป็นตัวป้องกันมิให้คนเกิดความไม่เป็นสุข  หรือไม่พึงพอใจในงาน ช่วยทำให้คนเปลี่ยนเจตคติจากการไม่อยากทำงานมาสู่ความพร้อมที่จะทำงาน
นอกจากนี้ Herzberg ยังได้อธิบายเพิ่มเติมอีกว่า  ปัจจัยจูงใจ และปัจจัยค้ำจุนหรือสุขศาสตร์ จะต้องมีค่าเป็นบวกเท่านั้น  จึงจะทำให้บุคคลมีแรงจูงใจและพึงพอใจในการปฏิบัติงาน 


ส่วนหนึ่งของรายงาน วิชาภาวะผู้นำ ดร.สมจิต สงสาร

วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554

การแข่งขันกีฬา "สายสัมพันธ์เขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ ครั้งที่ 2"


นายสมศักดิ์ ชอบทำดี ผอ.สพป.บร.2 เจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดบุรีรัมย์ 5 เขต โดยมีนายณรงค์ แผ้วพลสง ผอ.สพป.บร.1 เป็นประธานพิธี วัตถุประสงค์เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างเขตพื้นที่การศึกษา ให้บุคลากรทุกคนมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ เกิดความสมัครสมานสามัคคีระหว่างหมู่คณะ ก่อให้เกิดความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจในการพัฒนาการศึกษาในจังหวัดบุรีรัมย์ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมทั้ง 5 เขต 510 คน เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2553 ณ อุทยานน้ำหนองระแซซัน อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์   งบประมาณได้รับความร่วมมือจากทุกเขตและองค์กรเอกชน
ห้างร้าน เป็นอย่างดี



รวมพลคนเขต




สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 ก็มีคนสวย




กองเชียร์สพป.บุรีรัมย์ เขต 4 มีแต่นักเต้นวีไอพีทั้งนั้น




นักกีฬาฟุตบอลจำเป็น




สามัคคีชุมนุมกลุ่มงานการเงิน สพป.บุรีรัมย์ เขต4


บทความดีดีอยากให้อ่านกัน

อุปนิสัย 7 ประการเพื่อประสิทธิผลสูง
                                           โดย  Stephen R.Covey
                  
  โดยทั่วไปแล้วพฤติกรรมของเราประกอบไปด้วยอุปนิสัยต่างๆ ในตัวเรา ความคิดจะส่งผลให้เกิดการปฏิบัติ และเมื่อปฏิบัติเป็นนิจก็จะกลายเป็นอุปนิสัย เมื่อมีอุปนิสัยก็จะกลายเป็นคุณลักษณะ และในที่สุดจะกลายเป็นวิถีชีวิต
อุปนิสัยเป็นปัจจัยสำคัญต่อชีวิต และเกิดขึ้นตลอดเวลาจนเกือบไม่รู้ตัว แต่เราสามารถสร้างอุปนิสัยที่มีประสิทธิผลให้เกิดขึ้นกับตัวเราไได้ ด้วยความอดทนและตั้งใจจริง

อุปนิสัยเพื่อการพัฒนาสู่การเป็นผู้มีประสิทธิผลสูง ตามแนวคิดของ Stephen R. Covey ประกอบด้วย
อุปนิสัยที่ 1 .. ต้องเป็นเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน
เป็นความหมายแห่งการริเริ่ม มีความหมายในฐานะความเป็นมนุษย์ที่สามารถรับผิดชอบชีวิตตัวเอง พฤติกรรมของเราเป็นส่วนหนึ่งจากการตัดสินใจของเรา เราต้องเป็นฝ่ายริเริ่มและรับผิดชอบในการกระทำทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้น การกระทำของเราย่อมเกิดจากการเลือกของเราเอง อยู่บนพื้นฐานของคุณค่ามากกว่าผลจากเงื่อนไข
อุปนิสัยที่ 2 .. เริ่มต้นด้วยจุดมุ่งหมายภายในใจ
การเริ่มต้นด้วยจุดมุ่งหมายภายในใจ ( being with the end in mind ) หมายถึง คุณต้องรู้เป้าหมายอย่างชัดเจน ว่าคุณต้องการอะไร ต้องการจะไปไหน เพื่อจะได้เข้าใจว่าคุณจะขยับไปสู่ทิศทางที่ถูกต้องได้อย่างไร
การกำหนดเป้าหมายไว้ในใจ จะเป็นสิ่งที่ใช้ตรวจสอบทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตคุณ ไม่ว่าพฤติกรรมในวันนี้ หรือวันหน้าจะต้องสอดคล้องกับสิ่งที่คุณกำหนดไว้ในใจ
วิธีที่มีประสิทธิผลมากที่สุด ก็คือ " สนใจเฉพาะสิ่งที่คุณต้องการเป็น และต้องการทำ โดยอยู่บนพื้นฐานของคุณค่าและหลักการที่ดี "
อุปนิสัยที่ 3 .. ทำตามลำดับความสำคัญ
การบริหารที่ดีที่สุดคือ การทำทุกอย่างตามลำดับความสำคัญ ( putting first things first ) การบริหารก็คือการจัดระเบียบวินัยเพื่อทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จ และหัวใจของการบริหารเวลา สามารถสรุปให้สั้นเหลือเพียงประโยคเดียวว่า " จัดการและดำเนินการตามความสำคัญ "
อุปนิสัย 4 .. คิดแบบชนะ / ชนะ
" มิตรภาพไม่มีวันเกิดขึ้นได้ถ้าปราศจากความเชื่อมั่น และความเชื่อมั่นจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้ถ้าปราศจากความซื่อตรง "
แนวคิดแบบชนะ / ชนะ ไม่ถือเป็นเทคนิคอย่างหนึ่ง แต่เป็นปรัชญาโดยรวมที่มนุษย์พึงปฏิบัติต่อกัน เป็นการมองว่าชีวิตควรเป็นไปเพื่อความร่วมมือร่วมใจ ไม่ใช่เพื่อการแข่งขัน เพราะความสำเร็จของคนคนหนึ่งไม่ได้หมายความว่าต้องทำให้อีกคนหนึ่งเสียหายหรือต้องแย่งชิงจากคนอื่น
อุปนิสัยที่ 5 .. เข้าใจคนอื่นก่อนที่จะให้คนอื่นเข้าใจเรา
ปาสคาลกล่าวว่า " หัวใจมีเหตุผลพอที่จะรู้ว่าเรื่องไหนไม่ต้องใช้เหตุผล "
การเข้าใจคนอื่นต้องอาศัยการไตร่ตรอง แต่การทำให้คนอื่นเข้าใจเราจะต้องอาศัยความกล้าหาญ
ความคิดแบบชนะ / ชนะต้องประกอบไปด้วยทั้งสองอย่างนี้ ยิ่งคุณสามารถทำความเข้าใจคนอื่นได้ลึกซึ้งเท่าไหร่ คุณจะยิ่งได้รับความศรัทธามากขึ้นเท่านั้น เมื่อคุณเข้าใจความรู้สึกของแต่ละคนเป็นอย่างดีแล้ว ความแตกต่างจะไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อไป
อุปนิสัยที่ 6 .. ประสานพลัง
การประสานพลัง หมายถึง การรวมข้อดีของอุปนิสัยทั้งหมดมารวมเข้าด้วยกันเพื่อทำงานใหญ่ให้สำเร็จ
กุญแจสำคัญของการประสานพลังก็คือ การประสานพลังในตัวบุคคลนั่นเอง เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ
อุปนิสัยที่ 7 .. ลับเลื่อยให้คม
อุปนิสัยที่ 7 เป็นเหมือนกับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ที่ช่วยรักษาและเพิ่มคุณค่าที่มีอยู่ในตัวคุณให้มากขึ้น การลับเลื่อยให้คม โดยทั่วไปแล้วหมายถึงการแสดงพลังขับเคลื่อนที่มีอยู่ในตัวบุคคล แล้วนำออกมาใช้อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ โดยใช้อย่างฉลาดและสมดุล

ที่มา : กรมสุขภาพจิต